กินอยู่อย่างไร..ให้ห่างไกล “ไขมันพอกตับ”
โรคไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) หรือไขมันเกาะตับ เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับมากเกินปกติ คือ ประมาณ 5-10% ของตับ โดยน้ำหนักไขมันที่เข้าไปแทรกตับนั้น มักเป็นชนิดไตรกลีเซอไรด์ ภาวะนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติ ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ แต่อาจเป็นภัยเงียบที่เราอาจไม่รู้ตัว!!!
สาเหตุการเกิดโรคไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับเพศ ประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์ เรียกว่า alcoholic fatty liver disease
- ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
- กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานสูงของร่างกาย (metabolic syndrome) เช่นโรคอ้วน (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25) โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง
- การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจำ เช่น แป้ง น้ำตาล และไขมัน
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาต้านไวรัสบางชนิด ยากลุ่มสเตียรอยด์ และยากลุ่มต้านฮอร์โมน
กลุ่มเสี่ยงที่อาจมีภาวะไขมันพอกตับ
- คนอ้วน ผู้ชายรอบเอวเกิน 40 นิ้ว ผู้หญิง รอบเอวเกิน 35 นิ้ว
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ผู้ที่มีไขมันดี หรือ HDL ต่ำ (ผู้ชาย น้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ผู้หญิง น้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
รู้ได้อย่างไรว่าเริ่มมีไขมันพอกตับ?
ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแสดงอาการ และมักตรวจพบได้จากการตรวจเลือดประจำปี หรืออัลตราซาวนด์ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา
ไขมันพอกตับสามารถแบบออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะแรกเป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบ หรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ
- ระยะที่ 2 เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ หากไม่ควบคุมดูแล และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือน อาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
- ระยะที่ 3 การอักเสบรุนแรงต่อเนื่องจนเกิดเป็นพังผืด (fibrosis) สะสมในตับ ทำให้เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลง และถูกแทนที่ด้วยพังผืด
- ระยะที่ 4 เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ทำให้เกิดตับแข็งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้ในที่สุด
แนวทางการรักษา และป้องกันภาวะไขมันเกาะตับ
- หากมีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนักโดยให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยการลดน้ำหนักประมาณ 25 – 0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ จนกระทั่งน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที หากเป็นไปได้ควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิกและแบบมีแรงต้าน เช่น เดินเร็วครึ่งชั่วโมง แล้วตามด้วยการยกน้ำหนักแบบแรงกระแทกต่ำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีไขมันต่ำ กากใยสูง และให้พลังงานต่ำ
- ผู้ป่วยที่มีเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมโรคให้ดีด้วยการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ร่วมกับการควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
นอกเหนือจากแนวทางการรักษา และป้องกันภาวะไขมันพอกตับตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การรับประทานสมุนไพร และอาหารเสริมบางชนิดที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ก็สามารถช่วยขับสารพิษออกจากตับได้ เนื่องจากในปัจจุบันการใช้ยาเพื่อรักษาภาวะไขมันพอกตับยังมีข้อมูลไม่มากพอ แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษา พบว่า การใช้สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยทำให้ระดับ ALT[1] และ AST[2] กลับสู่ภาวะปกติได้ นอกจากนี้ วิตามินบี และแมกนีเซียม ยังมีคุณสมบัติในการช่วยเยียวยา และกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ตับที่เสียหายได้อีกด้วย
ข้อมูลอ้างอิง
- บทความเรื่อง “ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่คุณอาจไม่ทันรู้ตัว (Fatty Liver Disease)” https://bit.ly/2VVitEz
- บทความเรื่อง “ไขมันพอกตับ” https://bit.ly/3iQtwrz
- บทความเรื่อง “เกิดอะไรขึ้นเมื่อไขมันพอกตับ” https://bit.ly/3yUUmo0
- บทความเรื่อง “โรคไขมันพอกตับ (NAFLD)” https://bit.ly/2VRAa81
- บทความเรื่อง “การตรวจ ALT (SGPT) : Alanine aminotransferase คืออะไร ?” https://bit.ly/3AGA9mk
[1] ALT (Alanine transaminase) หรือ Alanine aminotransferase ค่า ALT นับเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญอย่างยิ่งตัวหนึ่งในการวิเคราะห์ผลข้างเคียงหรือพิษต่อตับจากยารักษาโรคบางชนิด (เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล) จึงสรุปได้ว่า หากตับได้รับพิษจากยา แอลกอฮอล์ อาหาร หรือจากการถูกโจมตีด้วยเชื้อไวรัส ก็ย่อมมีผลทำให้ค่า ALT สูงขึ้นได้เสมอ
[2] AST : ALT (DeRitis ratio) เนื่องจากการตรวจเลือดเพื่อหาค่า ALT มักจะต้องตรวจหาค่า AST ควบคู่ไปด้วยเสมอ และพบว่าอัตราส่วนระหว่าง AST : ALT นั้น อาจช่วยบ่งชี้โรคตับอย่างหยาบ ๆ ได้